ในแต่ละปี มีนักเดินทางเทรคกิ้งมากมายจากทั่วโลกเดินทางมาเนปาลเพื่อที่จะได้ชื่นชมหิมาลัยอย่างใกล้ชิดและได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณยังไม่มีประสบการณ์ในการเทรคและไม่แน่ใจว่าเส้นทางไหนเหมาะกับคุณที่สุด คุณจะสามารถหาคำตอบได้จากบทความนี้
wdt_ID | Trek Route | Max Altitude | Trek Length | Difficulty | Best Months |
---|---|---|---|---|---|
1 | Poon Hill Trek | 3,210 | 7 Days | Easy | All Year Round |
2 | Annapurna Base Camp Trek | 4,130 | 10 Days | Moderate | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
3 | Poon Hill + Annapurna Base Camp Trek | 4,130 | 13 Days | Moderate | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
4 | Annapurna Circuit Trek | 5,416 | 18 Days | Moderate – Hard | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
5 | Langtang Valley Trek | 4,773 | 10 Days | Moderate | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
6 | Mardi Himal Trek | 4,500 | 10 Days | Moderate | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
7 | Everest Base Camp Trek | 5,346 | 15 Days | Hard | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
8 | Everest Base Camp + Gokyo Valley Trek | 5,357 | 19 Days | Hard | Mar, Apr, May, Sep, Oct, Nov |
Nepal101 ได้รวบรวมข้อมูลเส้นทางเทรคที่ดีสุดดังต่อไปนี้
1. Ghorepani Poon Hill Trek
ระดับความยาก : ง่าย – ปานกลาง
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับเส้นทางนี้ : สามารถเทรคได้ตลอดทั้งปี
ระดับความสูงที่สุด : 3,210 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 7 วัน 6 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 100,000 คน
เส้นทาง Ghorepani Poon Hill (โกเรปานี ปูน ฮิลล์) เป็นเส้นทางที่มีการเดินเขามากที่สุดในเนปาล และครอบคลุมอาณาเขตของแนวเขา Annapurna (ยอดเขาอันนาปุรณะ) อีกด้วย เส้นทาง Ghorepani Poon Hill นี้เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่พึ่งจะเริ่มหัดเดินเขา (trekking) นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อย แต่ต้องการสัมผัสถึงประสบการณ์การเดินเขาในเนปาล เพลิดเพลินไปกับวิวพาโนรามาของแนวเทือกเขา Annapurna และยังสามารถเข้าไปเยี่ยมชมวัฒนธรรมของหมู่บ้านชาว Gurung ท้องถิ่นได้อีกด้วย
จุดเริ่มต้นของเส้นทางเทรคกิ้งนั้นจะเริ่มต้นจากเมือง Pokhara ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะมาเดินเขาที่เนปาล จากเมือง Pokhara นักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางต่อไปยัง Nayapul หรือจุดเริ่มต้นของการเทรคกิ้งในโซนอันนาปุรณะ คุณจะเดินเทรคถึงหมู่บ้าน Ulleri ซึ่งเป็นที่พักในคืนแรก และหมู่บ้าน Ghorepani ในคืนที่สอง เช้าวันถัดมาคุณจะต้องเดินขึ้นสู่ยอด Poon hill ในช่วงเวลาเช้ามืดเพื่อให้ทันเห็นแสงแรกที่ยอดพูนฮิลล์นั่นเอง
วินาทีที่ห้ามพลาดคือวินาทีที่แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นเทือกเขาหิมาลัยบนยอดพูนฮิลล์ ภาพที่สวยงามที่คุณเห็นอยู่เบื้องหน้า จะทำให้คุณรู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่เหนื่อยล้า ทุกระยะทางที่คุณฝ่าฟัน และก้าวข้ามอุปสรรคเอาชนะใจตนเองมาได้ ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าการรอคอยเหลือเกิน และอีกหนึ่งสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาเยือน เส้นทาง Poon Hill นั่นคือหมู่บ้าน Ghandruk ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเนปาล
ระยะทางการเทรคเส้นทาง Poon Hill
ระดับความสูงของ Ghorepani Poon Hill และอาการ AMS
โรค AMS (Acute Mountain Sickness) หรือโรคกลัวความสูงนั่นเอง แน่นอนว่าที่ระดับความสูงถึง 3,210 เมตร โอกาสในการเกิดภาวะกลัวความสูงนั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังถือว่ามีโอกาสเกิดได้น้อย ทั้งนี้การบรรเทาอาการของภาวะนี้ทำได้ไม่ยากเพียงจิบน้ำเป็นประจำ รับประทานอาหารที่อุ่นๆ และค่อยๆ เดินไต่ระดับไปตามความสูงที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรค AMS ได้
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นเดินทางจาก Nayapul และเริ่มเดินเท้าจากทางฝั่ง Hille แทนที่จะเริ่มจากทาง Ghandruk เนื่องจากคุณจะต้องพิชิต Ulleri ด้วยการเดินเทรคขึ้นบันไดหินมากกว่า 3,000 ก้าว การที่คุณเลือกใช้เส้นทางนี้จะทำให้ง่ายต่อการเดินทางมากกว่าเลือกใช้เส้นทางจาก Ghandruk ซึ่งจะทำให้คุณต้องเดินเทรคลงบันไดหิน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บเข่าระหว่างเดินได้มากกว่า
- เส้นทางเดินเทรค Poon Hill รู้จักกันดีในนามของ ‘Sunrise Trek’ หรือเส้นทางเดินเขาที่คุณจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในมุมที่สวยงามที่สุด ด้วยเหตุนี้คุณจะเห็นได้ว่ามีผู้คนจำนวนมากหยุดดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่หากว่าคุณสามารถที่จะเดินทางไปถึง Ghorepani ได้ก่อนค่ำ รับรองเลยว่าพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาก็สวยเช่นกัน
เส้นทาง Poon Hill นี้เป็นเส้นทางที่สั้น ไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรค
แผนที่เส้นทาง Poon Hill
2. Annapurna Base Camp (ABC) Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 4,130 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 11 วัน 10 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 50,000 คน
Annapurna Base Camp หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ABC เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นิยมเทรคกิ้งมีความสูงที่ระดับ 4,130 เมตร เส้นทางนี้จะเป็นทางขนานไปกับทุ่งนาขั้นบันได ป่ากุหลาบพันปี (ป่า Rhododendron) และวิวของแนวเทือกเขาแบบพาโนรามาอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังมีโอกาสที่จะได้ไปสัมผัสกับหมู่บ้าน Gurung และ Thakali อีกด้วย
โดยรวมแล้วคุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อันน่าทึ่งและวิวที่สวยที่สุดจากยอดเขา Annapurna และยอดเขา Machhapuchhre (ยอดเขามัจฉาปูชเร) และหากคุณได้มาเยือนในฤดูใบไม้ผลิที่คุณจะได้เห็นดอกกุหลาบพันปีเปลี่ยนเป็นสีแดง ชมพู และขาวตลอดทั้งเส้นทาง
ระยะทางการเทรคเส้นทาง Annapurna Base Camp Trek
ระดับความสูงของ Annapurna Base Camp และอาการ AMS
สำหรับเส้นทาง ABC ซึ่งมีจุดสูงสุดอยู่ที่ 4130 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือว่าเป็นระดับความสูงที่ยังไม่มีความเสี่ยงมาก ผู้เดินทางอาจจะเริ่มมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยหลังจากผ่าน Machhapuchre Base Camp (MBC) และจะค่อยๆปรับตัวได้หลังจากได้พักผ่อน ผู้เดินทางควรจะค่อยๆ ปรับระดับความสูงตามโปรแกรมการเดินทางอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอาการ AMS (Acute Mountain Sickness) หรืออาการแพ้ความสูง ทุกท่านควรที่จะจิบน้ำเป็นประจำและรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และพักผ่อนให้เพียงพอก็จะสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของ AMS ได้
Insider Tips for Annapurna Base Camp Trek
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- จำนวนของบ้านพักบนเขา (Teahouse) ในบริเวณ ABC นั้นมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งเจ้าของที่พักมักจะให้ความสำคัญกับกลุ่มทัวร์ขนาดใหญ่ที่มีไกด์นำลูกทัวร์มาพักเป็นประจำ ฉะนั้นหากคุณเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเองโดยไม่มีไกด์ และหาที่พักไม่ได้ อีกทางเลือกคือการพักค้างคืนที่ MBC และออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ไปยัง ABC เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น
- วิวเทือกเขา Annapurna ตอนใต้และยอดเขา Machhapuchre จากเส้นทาง Chomrong และ Deurali ไปสู่ MBC นั้นเป็นวิวที่สวยงามมากๆ ดังนั้นเตรียมกล้องของคุณให้พร้อมและต้องเตือนตัวเองเสมอว่าคุณจะต้องได้ภาพที่ดีที่สุดจากบริเวณนี้มาให้ได้
- ในช่วงเวลาบ่ายของทุกๆวันมักจะมีฝนหรือหิมะตก ดังนั้นอย่าลืมพกเสื้อกันฝนติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลาด้วย
If you are looking for something with a longer duration than Poon Hill Trek and close up view of the Annapurna Range of mountains – then the Annapurna Base Camp Trek is for you.
แผนที่เส้นทาง Annapurna Base Camp Trek
3. Annapurna Base Camp (ABC) + Poon Hill (PH) Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 4,130 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 13 วัน 12 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 50,000 คน
เส้นทาง Annapurna Base Camp ผ่านทาง Poon Hill ซึ่งเส้นทางนี้จะเริ่มต้นจากการเดินทางไปหมู่บ้าน Ghorepani เพื่อพิชิต Poon Hill และหลังจากนั้นเดินทางต่อไปยังอันนาปุรณะ เบสแคมป์ (Annapurna Base Camp) ผ่านทางมัจฉาปูชเร เบสแคมป์ (Machhapuchhare Base Camp) ซึ่งล้อมรอบด้วยหมู่บ้านและวัฒนธรรมของชาวท้องถิ่น
เส้นทางเทรคกิ้งนี้เป็นเส้นทางที่สวยงาม มีลักษณะเฉพาะตัว และมีวิวที่อลังการของเทือกเขา Annapurna และ Machhapuchhare ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกกุหลาบพันปีจะออกดอกสวยงาม ทำให้เส้นทางถูกประดับประดาไปด้วยสีแดง ชมพู และขาว นอกจากนั้นนักเดินทางที่เทรคในเส้นทางนี้ยังมีโอกาสที่จะไปแช่ตัวในบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่หมู่บ้าน Jhinu Dada
ระยะทางการเทรคเส้นทาง Poon Hill + Annapurna Base Camp Trek
ระดับความสูงของเส้นทาง Poon Hill + Annapurna Base Camp และอาการ AMS
ในส่วนของพูนฮิลล์ ผู้เดินทางไม่ต้องมีความกังวลในส่วนนี้ เนื่องจากความสูงจะยังไม่มีผลกับอาการแพ้ความสูง การเริ่มต้นเทรคจากทางฝั่งพูนฮิลล์ และเดินทางต่อไปยัง Annapurna Base Camp เป็นแผนการเดินทางที่ดี เนื่องจากคุณจะได้ค่อยๆปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับระดับความสูง ผู้เดินทางอาจจะเริ่มมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยหลังจากผ่าน Machhapuchre Base Camp (MBC) และจะค่อยๆปรับตัวได้หลังจากได้พักผ่อน ผู้เดินทางควรจะค่อยๆ ปรับระดับความสูงตามโปรแกรมการเดินทางอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอาการ AMS (Acute Mountain Sickness) หรืออาการแพ้ความสูง ทุกท่านควรที่จะจิบน้ำเป็นประจำและรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และพักผ่อนให้เพียงพอก็จะสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของ AMS ได้ ชาวเขาท้องถิ่นจะแนะนำให้ทานซุปกระเทียม (Garlic Soup) ซึ่งเชื่อว่าเป็นตำรับยาสมุนไพรธรรมชาติที่จะช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือดและช่วยป้องกันอาการแพ้ความสูง
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- วิวจากพูนฮิลล์ (Poon Hill) เป็นวิวพาโนรามาที่คุณจะสามารถเห็นแนวเทือกเขาอันนาปุรณะและมัจฉาปุฉเรทั้งหมดจากระยะไกล ในขณะที่วิวจากอันนาปุรณะ เบส แคมป์ (Annapurna Base Camp) เป็นวิวที่คุณจะสามารถเห็นภูเขาหิมะในระยะใกล้ ซึ่งเป็นวิวที่อลังการมาก
- วิวที่สวยที่สุดในทริปจะเห็นได้จากพูนฮิลล์ หมู่บ้าน Tadapani หมู่บ้าน Chomrong และหมู่บ้าน Deurali ระหว่างทางไป MBC อย่าลืมเตรียมกล้องขอคุณให้พร้อม
- ในช่วงเวลาบ่ายของทุกๆวันมักจะมีฝนหรือหิมะตก ดังนั้นอย่าลืมพกเสื้อกันฝนติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลาด้วย
เส้นทาง Poon Hill + Annapurna Base Camp เป็นเส้นทางที่ควบรวมทั้งสองเทรค โดยเส้นทางจะมาบรรจบกันระหว่างทางจากหมู่บ้าน Ghandruk ไป Chomrong
แผนที่เส้นทาง Poon Hill + Annapurna Base Camp Trek
จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้เริ่มจาก Nayapul หรือ Hille ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดที่รถจี๊ปสามารถเข้ามาถึงได้ ช่วงแรกของการเดินทาง คุณจะเดินตามเข็มนาฬิกา จากหมู่บ้าน Nayapul ไปยัง Tikhe Dhunga และจากนั้นเดินทางไปหมู่บ้าน Ulleri ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทรหดมากๆเนื่องจากเป็นบันไดหินซึ่งคุณต้องเดินขึ้นตลอดเวลากว่า 3000 ขั้น และคุณต้องเดินทางชันขึ้นต่อไปจนถึง Ghorepani หลังจากนั้นจะเดินทางต่อไปยังหมู่บ้าน Tadapani, Chomrong, Sinuwa, Bamboo, Dovan, Deurali, Machhapuchhre Base Camp (MBC) ก่อนที่จะพิชิต Annapurna Base Camp (ABC)
4. Annapurna Circuit (AC) Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง – ยาก
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 5,416 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 18 วัน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 50,000 คน
Annapurna Circuit Trek คือ เส้นทางการเดินเทรคในเนปาลที่ถือว่ามีระดับความยากระดับสูงเส้นทางหนึ่ง Annapurna Circuit Trek จะไม่เหมือนกับลักษณะของเส้นทาง Poon Hill และ ABC แต่เป็นเส้นทางที่เดินตามรอบแนวเทือกเขา Annapurna ซึ่งนักเดินเทรคทั้งหลายจะได้สัมผัสกับลักษณะภูมิประเทศ วัฒนธรรม และอีกหลากหลายประสบการณ์ในการเดินเขาในการเดินทางเพียงทริปเดียว
จุดที่สูงที่สุดและยากที่สุดของการเดินเขาในเส้นทางนี้ก็คือ การเดินทางไปยัง Thorong La Pass ที่ระดับความสูง 5,416 เมตร ซึ่ง ณ จุดนี้จะมีวิวแนวเทือกเขาแบบ 360 องศาให้คุณได้ชื่นชม และที่สำคัญคุณยังจะได้เดินทางไปถึงทะเลสาบ Tilicho ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการเดินเขาในเส้นทางสุดโหดเส้นนี้ หากคุณกำลังมองหาเส้นทางการสำรวจวัฒนธรรมและหมู่บ้านชาวเขาแบบ exotic อยู่ล่ะก็ รับรองว่าเส้นทาง Annapurna Circuit Trek นี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
ระดับความสูงของ Annapurna Circuit และอาการ AMS
สำหรับเส้นทาง Annapurna Circuit Trek ด้วยระดับความยากของเส้นทางการเดินที่ทุกคนขนานนามว่าโหด ก็ไม่ต้องแปลกใจหากคุณจะเห็นนักเดินเทรคมือสมัครเล่น ที่รีบเร่งกับการเดินจนมากเกินไป เกิดอาการ AMS ขึ้น ซึ่งคำเตือนที่เรามีให้อยู่เสมอคือ คุณจะต้องค่อยๆ เดิน อย่าเร่งรีบเพราะร่างกายจะต้องปรับระดับความสูงให้เกิดความคุ้นชินนั่นเอง นอกจากนี้คุณก็ควรที่จะดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คุณก็จะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ AMS ได้
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นการเดินป่าในเส้นทางแบบทวนเข็มนาฬิกา โดยเริ่มต้นจาก Besi Sahar เนื่องจากเป็นการค่อยๆ เพิ่มระดับความสูงและยังมีเวลามากพอที่จะทำให้ร่างกายได้ปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมนั่นเอง
- หลังจาก Muktinath เส้นทางสำหรับการเดินรถและเส้นทางสำหรับการเดินเท้านั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน ซึ่งเส้นทางเดินเท้านั้นคุณจะพบกับวิวสวยๆ มากมาย ดังนั้นโปรดเลือกเลือกเส้นทางให้ดีก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินทาง
หากคุณกำลังมองหาเส้นทางเทรคทางไกล ที่คุณจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและหมู่บ้านชาวเขาที่มีวิถีชีวิตเฉพาะตัว เส้นทาง Annapurna Circuit จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
5. Langtang Valley Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 4,773 เมตร (Upper Kyanjin Ri) หรือ 5,033 เมตร (Tserko Ri)
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 10 วัน 9 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 15,000 คน
สำหรับเส้นทาง Langtang Trek นับว่าเป็นเส้นทางเทรคที่ดีที่สุด เมื่อพิจารณาถึงเวลาที่ใช้ ความคุ้มค่าของราคา และวิวภูเขาที่สวยงามอลังการ สิ่งที่แตกต่างจากเส้นทางในเขต Annapurna คือในเขตอุทยานแห่งชาติ Langtang มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกเข้าถึงธรรมชาติมากกว่า และในเส้นทางนี้จะมีบันไดหินน้อยกว่าเขต Annapurna หินที่คุณจะเห็นในเส้นทาง Langtang จะเป็นหินที่สลักบทสวดมนต์ของชาวพุทธและสร้างเป็นกำแพงเล็กๆ ที่คุณจะพบเห็นได้ตลอดเส้นทาง เมื่อคุณเดินผ่านกำแพงหินที่สลักบทสวดมนต์ของชาวพุทธ คุณควรจะเดินผ่านทางซ้ายของกำแพงเสมอ ซึ่งเชื่อกันกว่าจะเป็นการนำโชคดีมาให้
จุดเริ่มต้นของการเทรคคือหมู่บ้าน Syabru Besi เส้นทางนี้จะเริ่มต้นจากการเดินทางผ่านหมู่บ้านของชาว Tamang แม่น้ำ และบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เมื่อเริ่มไปถึงจุดที่สูงมากขึ้น คุณจะเริ่มเห็นยอดเขาลังตัง (Langtang Ri) ซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี หลังจากจุดที่สูงขึ้นไป วิวรอบตัวของคุณจะเริ่มมีความแห้งแล้งขรุขระมากขึ้น และจะสามารถพบเห็นม้าและตัวจามรีได้ตลอดทาง
เมื่อคุณเดินทางถึงหมู่บ้าน Langtang Village คุณจะเริ่มรู้สึกได้ถึงวิถีชีวิตของชาวหิมาลัยที่แท้จริง ความเป็นอยู่ของผู้คนในแถบนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเท่ากับเขต Annapurna เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก เขต Langtang เป็นเขตหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างมากจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2015
ไฮไลท์ของเส้นทางนี้คือยอดเขา Kyanjin Ri (4,773 เมตร) และยอดเขา Tserko Ri (5,033 เมตร) จากจุดนั้นคุณจะเห็นวิวพาโนรามาของเทือกเขาลังตัง และนอกจากนั้นคุณอาจจะมองเห็นธารน้ำแข็งที่อยู่บริเวณเทือกเขาด้วย วิวที่สวยงามอลังการนี้เปรียบเสมือนรางวัลชิ้นใหญ่จากการเอาชนะใจตนเองทุกย่างก้าวจนมาถึงจุดนี้ได้
ระยะทางการเทรคเส้นทาง Langtang Valley Trek
ระดับความสูงของ Langtang Trek และอาการ AMS
จากหมู่บ้าน Syabru Besi ถึงหมู่บ้าน Lama Hotel หรือหมู่บ้าน Ghoda Tabela จะเป็นช่วงที่ความสูงไม่เกิน 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในบริเวณนี้จึงยังมีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดอาการ AMS แต่เมื่อเดินทางถึงบริเวณ Langtang Valley คุณอาจจะเริ่มมีอาการ AMS เล็กน้อย แต่หากคุณได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ อาการต่างๆจะเริ่มหายไป ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายสามารถปรับตัวได้เอง
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- สำหรับสายชีส คุณไม่ควรพลาดที่จะลิ้มลองชีสที่ทำจากนมของจามรีในหมู่บ้าน Kyanjin Gomba ในหมู่บ้านจะมีโรงงานเล็กๆและร้านจำหน่ายชีสอยู่ (ในตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงงาน หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี 2015)
- จากหมู่บ้าน Kyanjin Gomba คุณจะสามารถเดิน hike ขึ้นไปพิชิตยอดต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น Lower Kyanjin Ri, Upper Kyanjin Ri หรือ Tserko Ri ซึ่งแต่ละยอดก็จะมีความยากง่ายต่างกัน คุณควรที่จะเริ่มออกเดินทางในช่วงเช้าตรู่ เพื่อให้ทันได้เห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้น ที่สำคัญที่สุดคืออย่าฝืนร่างกายให้ไปต่อ หากเริ่มรู้สึกว่ามีอาการ AMS
- ในวันที่จะเดิน hike ขึ้นไปพิชิตยอดเขา อาหารเช้าสำคัญมาก แนะนำเป็นข้าวโอ๊ตต้ม หรืออาหารที่ให้พลังงานสูง เนื่องจากคุณต้องใช้พลังงานอย่างมากในการเดินทาง
หากคุณมองหาเส้นทางที่จะให้ประสบการณ์ที่แตกต่าง ไม่พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว เส้นทาง Langtang Valley Trek เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ
แผนที่เส้นทาง Langtang Valley Trek
6. Mardi Himal (MH) Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 4,500 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 10 วัน 9 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 25,000 คน
เส้นทาง Mardi Himal เป็นเส้นทางใหม่ล่าสุดในเขต Annapurna หากคุณต้องการบรรยากาศที่ไม่พลุกพล่าน เงียบสงบ สวยงาม และเห็นวิวของยอดเขาหางปลา Macchapuchre แบบชัดๆ เส้นทางนี้เหมาะสมกับคุณอย่างยิ่ง และยังเป็นเส้นทางที่ไม่ยากเกินไป เหมาะสมสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรคเป็นครั้งแรก
ระยะทางการเทรคเส้นทาง Mardi Himal Trek
ระดับความสูงของ Mardi Himal Trek และอาการ AMS
ในช่วงแรกของการเทรค คุณจะเดินผ่านบริเวณป่าเขียว และป่ากุหลาบพันปี ซึ่งมีความสูงไม่เกิน 2,500 เมตร และจากนั้นจะเป็นช่วงทางชัน พาขึ้นสู่ความสูง 3,300 เมตร ภูมิประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเป็นเขตภูเขาสูง จะแนะนำให้คุณเริ่มเทรคอย่างระมัดระวังและเริ่มสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิดตั้งแต่บริเวณ Low Camp เป็นต้นไป
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
Following are a few insider tips that our team at Nepal101 recommends for the Mardi Himal Trek –
- ในเส้นทางนี้ ยังมีจำนวนบ้านพักบนเขา (Teahouse) น้อยมากหากเทียบกับเส้นทางอื่นในเขต Annapurna หากคุณเดินทางในช่วงฤดูท่องเที่ยว ควรให้ไกด์ทำการจองที่พักบนเขาล่วงหน้า
- Mardi Himal Base Camp เป็นชุดชมวิวเขาหางปลา (Macchapuchre) ที่สวยงามมาก เส้นทางตั้งแต่ High Camp จนถึง Base Camp เป็นช่วงที่วิวสวยจนเกือบลืมหายใจ
- อย่าลืมพกช็อคโกแลต ผลไม้แห้ง หรือขนมที่ให้พลังงานและน้ำตาลไปด้วย เนื่องจากระหว่างทางอาจจะไม่มีร้านขายขนมเหมือนเส้นทางอื่นๆ
เส้นทาง Mardi Himal กำลังเป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นปัญหา คือ จำนวนที่พักซึ่งยังไม่เพียงพอกับนักท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องทำการจองล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะมีที่พักแน่นอน
แผนที่เส้นทาง Mardi Himal Trek
7. Everest Base Camp (EBC) Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง-ยาก
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 5,545 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 15 วัน 14 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 25,000 คน
เส้นทาง Everest Base Camp จะเป็นการเดินทางผจญภัยที่คุณจะไม่ลืมเลือนไปตลอดชีวิต เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยงามและได้รับความนิยมมากที่สุดเส้นทางหนึ่งของการเดินเทรคที่เนปาล การเดินทางไป Base Camp จะเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่ทีมนักปีนยอดเขาใช้ ระหว่างทางจะมีทั้งสะพานแขวน วัดพุทธ และเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเชอร์ปา (Sherpa) ผู้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของทีมปีนยอดเข้าเอเวอเรสท์ทุกๆทีม วิวระหว่างการเทรคเป็นวิวของเทือกเขาเอเวอเรสท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ยอดอื่นๆที่คุณจะได้เห็นระหว่างการเดินทางคือ Lhotse (8,501 เมตร), Makalu (8,463 เมตร), Cho Oyu (8,153 เมตร), และ Ama Dablam (6,856 เมตร)
นอกจากนั้นคุณยังจะได้ประสบการณ์การแลนด์บนสนามบิน Tenzing-Hillary Airport ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นของการเทรคคือหมู่บ้าน Lukla จากนั้นเป็นหมู่บ้าน Phakding, Namche, Tengboche, Dingboche, Lobuche, Gorak Shep, EBC, Kala Patthar และกลับไปยังหมู่บ้าน Namche
ระยะทางการเทรคเส้นทาง Everest Base Camp Trek
ระดับความสูงของ Everest Base Camp Trek และอาการ AMS
เคล็ดลับของการพิชิตเส้นทาง Everest Base Camp คือการจัดตารางการเทรคให้มีวันพักปรับสภาพร่างกายที่เหมาะสม โดยวันแรกของการพักควรจะจัดให้พักที่หมู่บ้าน Namche Bazar สถิติของผู้เดินทางที่มีอาการ AMS อย่างหนักส่วนมากเป็นผู้ที่ไม่ได้พักปรับสภาพร่างกายในเวลาที่เหมาะสม ในโปรแกรมของเราจัดให้มีการพักปรับสภาพร่างกายอีกครั้งที่หมู่บ้าน Dingboche ซึ่งเป็นระยะทางไม่กี่วันก่อนที่จะพิชิต Base Camp และ Kala Patthar
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- ไม่แนะนำให้รับประทานเมนูเนื้อสัตว์ในบริเวณเส้นทางนี้ เนื่องจากในเขตเอเวอเรสท์เป็นเขตห้ามฆ่าสัตว์ จึงต้องนำเนื้อสัตว์มาจากเมืองอื่นๆแทน จึงอาจจะมีบางส่วนที่ไม่สด และอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ สามารถทานปลากระป๋องหรืออาหารกระป๋องเพื่อทดแทนได้
- เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความพลุกพล่านของนักท่องเที่ยว คุณสามารถเริ่มต้นเทรคแต่เช้าตรู่ เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางในแต่ละวันได้อย่างรวดเร็ว
- อย่าฝืนร่างกายตนเอง อย่าเร่งรีบจนทำให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป เดินอย่างไม่เร่งรีบและมั่นคง จะทำให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว หากมีอาการแพ้ความสูงและไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ไม่ควรฝืนไปต่อในจุดที่สูงขึ้น เนื่องจากอาจจะเป็นอันตรายกับสุขภาพได้ (หากอากาศไม่ดี หรือเป็นช่วงเวลาที่ฟ้ามืดแล้ว เฮลิคอปเตอร์ทางการแพทย์ จะไม่สามารถขึ้นมาช่วยเหลือคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม)
- การเดินทางโดนเครื่องบินจากกาฐมาณฑุไปลุคลาและลุคลาไปกาฐมาณฑุ เดินทางด้วยเครื่องบินเล็ก 15-18 ที่นั่ง มีความไม่แน่นอนสูง หากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จะมีโอกาสที่จะเกิดการดีเลย์หรือยกเลิกไฟล์ทค่อนข้างสูง ดังนั้น คุณจึงควรเตรียมวันเผื่อ หรือเตรียมแผนสำรองไว้ด้วย
เส้นทางนี้อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรค แต่สำหรับนักเทรคกิ้งที่มีประสบการณ์แล้ว เส้นทางนี้คู่ควรอย่างยิ่งกับการเดินทางเพื่อไปพิชิตเบสแคมป์ครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณ
แผนที่เส้นทาง The Everest Base Camp Trek
8. Everest Base Camp (EBC) และ Gokyo Lake (ผ่าน Chola Pass) Trek
ระดับความยาก : ปานกลาง-ยาก
เดือนที่ดีที่สุดสำหรับการเทรคกิ้ง : มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – พฤศจิกายน
ระดับความสูงที่สุด : 5,545 เมตร
ช่วงเวลาของโปรแกรม : 19 วัน 18 คืน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี : มากกว่า 25,000 คน
เส้นทางเอเวอเรสท์ เบสแคมป์และทะเลสาบโกเคียว เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่จะทำให้คุณประทับใจไม่ลืมเลือน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยงามและได้รับความนิยมมากที่สุดเส้นทางหนึ่งของการเดินเทรคที่เนปาล การเดินทางไป Base Camp จะเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่ทีมนักปีนยอดเขาใช้ จากนั้นคุณจะต้องข้ามผ่าน Chola Pass ซึ่งนับได้ว่าเป็นวันเทรคที่ทรหดที่สุดในโปรแกรมการเดินทาง หลังจากนั้นคุณจะได้พบกับความสวยงามของทะเลสาบสีฟ้า หรือทะเลสาบโกเคียวที่ตั้งอยู่ ณ ความสูงกว่า 5000 เมตรจากระดับน้ำทะเล
จุดเริ่มต้นของการเทรคคือหมู่บ้าน Lukla จากนั้นเป็นหมู่บ้าน Phakding, Namche, Tengboche, Dingboche, Lobuche, Gorak Shep, EBC, Kala Patthar, Dzongla, Chola-Pass, Thangnak, Gokyo, Dole และกลับไปยังหมู่บ้าน Namche
แผนที่เส้นทาง Everest Base Camp + Gokyo Valley Trek
Trekking Trail Route | Distance (km) | Time (hrs) | Altitude (m) | |
---|---|---|---|---|
1 | Lukla to Phakding | 6.2 | 4 - 5 hrs | 2,620.00 |
2 | Phakding to Namche Bazar | 10.2 | 5 - 6 hrs | 3,440.00 |
3 | Namche to Sagarmatha Museum | 1.1 | 1 - 2 hrs | 3,550.00 |
4 | Namche to Everest View Hotel | 1.5 | 3 - 4 hrs | 3,962.00 |
5 | Namche to Tengboche | 9.2 | 5 - 6 hrs | 3,749.00 |
6 | Tengboche to Dingboche | 11.0 | 5 - 6 hrs | 4,440.00 |
7 | Dingboche to Lobuche | 12.0 | 5 - 6 hrs | 4,930.00 |
8 | Lobuche to Gorak Shep | 4.0 | 3 - 4 hrs | 5,170.00 |
9 | Gorak Shep to Everest Base Camp | 3.5 | 3 - 4 hrs | 5,346.00 |
10 | Gorak Shep to Kala Patthar | 2.0 | 3 - 4 hrs | 5,545.00 |
11 | Gorak Shep to Dzongla | 10.0 | 5 - 6 hrs | 4,830.00 |
12 | Dzongla to Thangnak | 11.5 | 8 - 10 hrs | 4,950.00 |
13 | Thangnak to Gokyo Village | 8.0 | 5 - 6 hrs | 4,950.00 |
14 | Gokyo Village to Gokyo Ri | 2.1 | 3 - 4 hrs | 5,357.00 |
15 | Gokyo Village to Dole | 9.5 | 6 - 7 hrs | 4,034.00 |
16 | Dole to Namche | 10.5 | 5 - 6 hrs | 3,440.00 |
17 | Namche Bazaar to Lukla | 17.7 | 6 - 7 hrs | 2,840.00 |
Total 130.0 |
ระดับความสูงของ Everest Base Camp Trek + Gokyo Lake และอาการ AMS
เคล็ดลับของการพิชิตเส้นทางนี้คือการจัดตารางการเทรคให้มีวันพักปรับสภาพร่างกายที่เหมาะสม โดยวันแรกของการพักควรจะจัดให้พักที่หมู่บ้าน Namche Bazar สถิติของผู้เดินทางที่มีอาการ AMS อย่างหนักส่วนมากเป็นผู้ที่ไม่ได้พักปรับสภาพร่างกายในเวลาที่เหมาะสม ในโปรแกรมของเราจัดให้มีการพักปรับสภาพร่างกายอีกครั้งที่หมู่บ้าน Dingboche ซึ่งเป็นระยะทางไม่กี่วันก่อนที่จะพิชิต Base Camp และ Kala Patthar และมีการพักปรับสภาพร่างกายอีกครั้งที่หมู่บ้าน Gokyo ซึ่งเป็นวันที่เราจะได้พิชิตยอด Gokyo Ri
เคล็ดลับจากนักเทรคกิ้ง
- ไม่แนะนำให้รับประทานเมนูเนื้อสัตว์ในบริเวณเส้นทางนี้ เนื่องจากในเขตเอเวอเรสท์เป็นเขตห้ามฆ่าสัตว์ จึงต้องนำเนื้อสัตว์มาจากเมืองอื่นๆแทน จึงอาจจะมีบางส่วนที่ไม่สด และอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ สามารถทานปลากระป๋องหรืออาหารกระป๋องเพื่อทดแทนได้
- เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความพลุกพล่านของนักท่องเที่ยว คุณสามารถเริ่มต้นเทรคแต่เช้าตรู่ เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางในแต่ละวันได้อย่างรวดเร็ว
- อย่าฝืนร่างกายตนเอง อย่าเร่งรีบจนทำให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป เดินอย่างไม่เร่งรีบและมั่นคง จะทำให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว หากมีอาการแพ้ความสูงและไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ไม่ควรฝืนไปต่อในจุดที่สูงขึ้น เนื่องจากอาจจะเป็นอันตรายกับสุขภาพได้ (หากอากาศไม่ดี หรือเป็นช่วงเวลาที่ฟ้ามืดแล้ว เฮลิคอปเตอร์ทางการแพทย์ จะไม่สามารถขึ้นมาช่วยเหลือคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม)
- การเดินทางโดนเครื่องบินจากกาฐมาณฑุไปลุคลาและลุคลาไปกาฐมาณฑุ เดินทางด้วยเครื่องบินเล็ก 15-18 ที่นั่ง มีความไม่แน่นอนสูง หากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จะมีโอกาสที่จะเกิดการดีเลย์หรือยกเลิกไฟล์ทค่อนข้างสูง ดังนั้น คุณจึงควรเตรียมวันเผื่อ หรือเตรียมแผนสำรองไว้ด้วย
เส้นทางนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรค แต่สำหรับนักเทรคกิ้งที่มีประสบการณ์แล้ว เส้นทางนี้คู่ควรอย่างยิ่งกับการเดินทางเพื่อไปพิชิตเบสแคมป์และข้ามผ่าน Chola Pass เพื่อไปเห็นทะเลสาบสีฟ้าแสนสวยด้วยตาคุณเอง
แผนที่เส้นทาง The Everest Base Camp + Gokyo Valley Trek
หลังจากดูข้อมูลเส้นทางเทรคที่น่าสนใจทั้ง 8 เส้นทางแล้ว คุณคิดว่าเส้นทางไหนเหมาะกับคุณที่สุด? หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อมาพูดคุยกับทีมงาน Nepal101 ได้เลยครับ
Check Private Treks